สิงหาคม 01, 2553

รอการลงโทษ กับ รอการกำหนดโทษ






ปัญหานักโทษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัญหาหนึ่งของ

กรมราชทัณฑ์ เมื่อใดก็ตามมีนักโทษมากเกินไปย่อมเกิดความแออัด

และทุกครั้งที่มีการปล่อยนักโทษพ้นคุกออกมา สังคมก็ผวาไปเหมือนกัน

ประเทศไทยจึงประสบปัญหากับนักโทษล้นคุก ทำให้การดูแล และปฏิบัติ

ต่อนักโทษไม่เป็นไปตามมาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วย

กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในเรื่องกฎมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติ

ต่อนักโทษ


การลงโทษปัจจุบันแม้จะมีการฟื้นฟูนักโทษไปด้วยในระหว่างจำคุก

แต่มีข้อเสียตรงที่ผู้ถูกจำคุกอาจได้รับการเรียนรู้วิธีการกระทำผิดมากขึ้นจาก

นักโทษอื่น และเมื่อพ้นโทษไปแล้วมักไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

เกิดตราบาปแก่คนนั้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ซึ่งพ้นโทษ

และมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างมาก


ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้กำหนดเงื่อนไขในการที่ศาลใช้

ดุลพินิจในการใช้มาตรการรอการลงโทษแก่ผู้กระทำผิด ดังนี้


"มาตรา 56 ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกและในคดีนั้น ศาลจะ

ลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน

หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำ

โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ เมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ

ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิตนิสัยอาชีพ

และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้นหรือสภาพความผิดหรือเหตุอันควรปรานีแล้ว

เห็นเป็นการสมควรศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนด

โทษไว้ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไปเพื่อให้โอกาส

ผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่

วันที่ศาลพิพากษาโดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้น

ด้วยหรือไม่ก็ได้

เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดนั้น ศาลอาจกำหนด

ข้อเดียวหรือหลายข้อ ดังต่อไปนี้

(1) ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราวเพื่อ

เจ้าพนักงานจะได้สอบถามแนะนำ ช่วยเหลือหรือตักเตือนตามที่เห็นสมควร

ในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือจัดให้กระทำกิจกรรมบริการ

สังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานและผู้กระทำความผิดเห็นสมควร

(2) ให้ฝึกหัดหรือทำงานอาชีพอันเป็นกิจจะลักษณะ

(3) ให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำ

ความผิดใน ทำนองเดียวกันอีก

(4) ให้ไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษความบกพร่อง

ทางร่างกายหรือจิตใจหรือความเจ็บป่วยอย่างอื่น ณ สถานที่และตาม

ระยะเวลาที่ศาลกำหนด

(5) เงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อแก้ไขฟื้นฟู

หรือป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสกระทำความผิดขึ้นอีก



ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการรอการลงโทษ ได้แก่ กรณีที่ศาลพิพากษาว่าผู้นั้น

มีความผิดและกำหนดจำคุกมีเวลาแน่นอนแล้ว แต่ผู้นั้นยังไม่ต้องถูกจำคุก

เช่น ศาลสั่งจำคุก 2 ปี หากภายใน 2 ปี ไม่กระทำความผิดอีก ถือว่า

ไม่ต้องโทษ การรอกำหนดโทษ ได้แก่ กรณีที่ศาลพิพากษาว่าผู้นั้น

มีความผิด แต่ยังไม่กำหนดโทษจำคุกว่า จะต้องถูกจำคุกเท่าใด เช่น

ศาลพิพากษาว่าให้จำคุก แต่รอกำหนดโทษไว้ 2 ปี (ยังไม่ทราบว่า

จำคุกเท่าใด) หากภายใน 2 ปี กระทำความผิด จึงจะถูกกำหนดโทษ

ถ้าภายใน 2 ปีไม่กระทำผิด ถือว่าไม่ต้องโทษ

การรอการลงอาญาดังกล่าว นับเป็นวิธีการแก้ไขความประพฤติของ

ผู้ได้กระทำความผิดอาญา เปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดได้กลับตนเป็นคนดี

ไม่ต้องถูกจำคุก และช่วยลดจำนวนนักโทษในเรือนจำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

การจำคุกระยะสั้น ๆ เช่น 15 วัน หรือ 3 เดือน 6 เดือน ไม่ได้ประโยชน์

ในการแก้ไขจิตใจให้ดีขึ้นแต่อย่างใด กลับทำให้เกิดผลเสียต่อผู้นั้น ผลเสีย

ต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องใช้จ่ายเงินในการควบคุมดูแล ผลเสียต่อ

ภาวะจิตใจของครอบครัว เศรษฐกิจของครอบครัว ปัญหาต่าง ๆ ของครอบครัว

ซึ่งกลับเป็นผลเสียของสังคม ดังนั้น วิธีการรอการลงโทษและรอการ

กำหนดโทษ เป็นวิธีการที่นิยมกันในนานาประเทศ

ผู้ที่กระทำผิด และคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ถ้าผู้นั้นไม่เคย

ต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือเคยถูกจำคุกแต่เป็นโทษสำหรับความผิดโดย

ประมาทหรือลหุโทษ ศาลจะได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา

การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะจิตใจ นิสัย อาชีพและสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น

หรือสภาพความผิดหรือเหตุอื่น ๆ อันควรปรานี ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นผิด

แต่รอการกำหนดโทษไว้ หรือรอการลงอาญา ปล่อยตัวผู้นั้นเพื่อให้โอกาส

กลับตัวภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี บางรายอาจจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อ

ควบคุมความประพฤติด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น ให้ไปรายงานตัวต่อศาลหรือ

เจ้าพนักงานเป็นครั้งคราว ให้ฝึกหัดหรือทำงานอาชีพ ให้ละเว้น

การคบหาสมาคม หรือการประพฤติอันอาจนำไปสู่การกระทำผิดอีก"





การใช้ดุลพินิจของศาลในการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษจึงมี

ความสำคัญมากในกระบวนการพิจารณาพิพากษาของศาล และเมื่อพิจารณา

ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงในการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ คือ

การหลีกเลี่ยงการลงโทษจำคุกระยะสั้น และเป็นการให้โอกาสแก่ผู้กระทำ

ความผิดได้กลับตนเป็นคนดีของสังคมภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร

โดยจะมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขก็ตามเพื่อแก้ไขผู้กระทำความผิด

ซึ่งกลับตนเป็นคนดีแล้วคืนสู่สังคม ซึ่งถือว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ดีของกฎหมาย





"การใช้กฎหมายมีความสำคัญกว่าการสร้างกฎหมาย"






อ้างอิง


นันทิพัฒน์ บุญทวี. "ปัญหาการรอการลงโทษตามประมวลกฎหมาย

อาญา". วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

(กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2550).

ปรีชา ขำเพชร. "ดุลพินิจของศาลในการรอการลงโทษหรือรอการ

กำหนดโทษ : ศึกษาแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา", วิทยานิพนธ์

นิติศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.(กรุงเทพมหานคร :

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2546).




เวปไซด์


www.staff.p1.police.go.th/ver2/images/

stories/ms.../106.doc


e-learning.mfu.ac.th/mflu/1601101/chapter0804.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น